หน่วยวัดที่ดิน 1 ไร่เท่ากับกี่ตารางวาหน่วยวัดที่ดินในไทยที่ถูกใช้ระบุในโฉนดที่ดิน และคำนวณราคาซื้อ-ขายมีด้วยกัน 3 หน่วยคือ "ไร่-งาน-ตารางวา" และมีความสัมพันธ์กับหน่วย "ตารางเมตร" จึงทำให้จดจำง่าย และคุณก็จะได้คำตอบแล้วว่า 1 ไร่มีกี่ตารางวา 1 งานเท่ากับกี่ตารางวา หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า
หน่วยตารางเมตรจะพบได้จากการคำนวณพื้นที่ห้องในคอนโด หรือใช้วัดพื้นที่ใช้สอยในบ้าน เช่น วัดที่ดินใช้หน่วยตารางวา แต่วัดพื้นที่ใช้สอยจะใช้หน่วยตารางเมตรและนับรวมทุกชั้นในบ้าน นอกจากนี้ยังมีหน่วย "ตารางฟุต" อีกด้วย หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า
ยังมีหน่วยวัดอื่น ๆ ที่ทางยุโรป อเมริกา นิยมใช้กัน ตามด้านล่างนี้
หลังจากได้คำตอบหน่วยวัดที่ดินแล้วว่า 1 ไร่มี 400 ตารางวา, 1 งานเท่ากับ 100 ตารางวา รวมถึงได้รู้จักกับหน่วยวัดพื้นที่และการแปลงหน่วยวัดกันแล้ว ลองมาลงลึกกันอีกนิดกับสูตรคำนวณพื้นที่รูปทรงต่าง ๆ ที่ควรรู้
สูตรคำนวณพื้นที่สี่เหลี่ยมที่ง่ายที่สุด จะใช้ได้เมื่อพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือผืนผ้าที่มีการทำมุม 90 องศาทุกมุม โดยคุณจะได้ผลลัพธ์พื้นที่จาก 2 สูตรนี้ พื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส = ด้าน x ด้าน หรือ ด้านยกกำลัง 2 โปรแกรม คำนวณที่ดิน
ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีความยาวด้านละ 20 วา จะได้ 20 x 20 = 400 ตารางวา
ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีด้านกว้าง 15 วา ด้านยาว 20 วา ก็จะได้ 15 x 20 = 300 ตารางวา
ตามความจริงพื้นที่บางจุดไม่ได้ทำมุมฉากทุกมุม บางที่มักจะเอียงซ้าย เอียงขวา ป้านมุมล่าง แหลมมุมบน ซึ่งเป็นสี่เหลี่ยมใด ๆ ได้หลายแบบ เราควรต้องใช้สูตรในการคำนวณจากเส้นทแยงมุมและเส้นกิ่งทั้ง 2 ด้าน ดังนี้
ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีเส้นทแยงมุม 10 วา มีเส้นกิ่งด้านละ 4.8 วา จะได้ 1/2 x (10 x (4.8 + 4.8)) = 48 ตารางวา โดยเป็นสี่เหลี่ยมผื่นผ้าที่มีด้านกว้าง 6 วา ด้านยาว 8 วา ก็จะได้ 48 ตารางวาเช่นกัน เส้นกิ่งคือเส้นที่ลากจากมุมให้ตั้งฉาก 90 องศากับเส้นทแยงมุม ซึ่งหลักการของสูตรนี้คือการหั่นสี่เหลี่ยมออกเป็นสามเหลี่ยม 2 ชิ้นมาคิดพื้นที่นั่นเอง แต่ในกรณีที่คุณมีเพียงความยาวสี่เหลี่ยมทั้ง 4 ด้าน ต้องใช้สูตรที่ซับซ้อนขึ้นดังนี้
ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีด้านซ้าย 12 วา ด้านบน 9 วา ด้านขวา 5 วา ด้านล่าง 14 วา โดยตัวแปร s จะได้ 1/2 x (12+9+5+14) = 20 และพื้นที่จะได้ รูท((20 – 12) x (20 – 9) x (20 – 5) x (20 – 14)) = 88.99 ตารางวา
พื้นที่สามเหลี่ยมนั้นอาจเป็นส่วนประกอบหนึ่งในพื้นที่หลายเหลี่ยมมุม โดยสิ่งที่คุณต้องมีเมื่อต้องการคำนวณพื้นที่สามเหลี่ยมคือความยาวของฐานสามเหลี่ยม และความสูงจากฐานจนถึงยอด แล้วใช้สูตรนี้
ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีความยาวฐาน 16 วา มีความสูง 12 วา จะได้ 1/2 x (16 x 12) = 96 ตารางวา ทั้งนี้ยังมีสูตรคำนวณพื้นที่อีกมากมาย แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือที่จะช่วยให้การคำนวณง่ายขึ้น ด้วยแอปพลิเคชันคำนวณพื้นที่ที่ทำให้ชีวิตง่ายดายกว่าเดิมโดยไม่ต้องนั่งจิ้มเครื่องคิดเลขเอง
จะเน้นในเรื่องราคาในการถม ซื่งทางเราขอแนะนำ ดินถมทั่วไป ซึ่งเป็นดินราคาถูก ถมทิ้งไปนานก่อนการปลูกสร้าง และ สามารถพัฒนาหรือปรับปรุงพื้นที่ในการบดอัดแน่น เพื่อทำสิ่งปลูกสร้างได้เกือบทุกประเภท เช่น บ้าน โรงงาน โกดัง ลานจอด และ อื่น ๆ
ดินดาน ดีหรือไม่ สำหรับการสร้างบ้าน ส่วนใหญ่งานหมู่บ้านใหญ่ หรือ พื้นที่ที่มีความลึกมากๆ ในการถมจะใช้ดินดานในการถม จุดสำคัญที่ใช้ดินดาน เนื่องจากดินดานมีความแห้ง และสามารถบดอัดได้ สามารถขึ้นงานก่อสร้างได้เลย แต่ปลูกต้นไม้ไม่ค่อยดี การพัฒนาดินดานให้ปลูกต้นไม้ได้ดีค่อนข้างยาก
พื้นที่แบบนี้ ไม่เน้นการปลูกต้นไม้ ต้องการบดอัดดินแน่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเทปูน ลานจอดรถ ลานขนส่ง ต่างๆ พร้อมขึ้นงานโครงสร้างได้ง่าย และทันที ซึ่งทางเราแนะนำ วัสดุที่สามารถบดอัดแน่นได้ดี ดินลูกรัง ดินดาน ราคาค่าถมจะมีราคาสูงกว่า ดินถมทั่วไป เนื่องจาก เครื่องจักรใหญ่ ในการบดอัดวัสดุ สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพฯ การส่งขนส่งวัสดุเข้ามามีระยะทางไกล เพราะบ่อดินส่วนใหญ่ อยู่ขอบนอกของกรุงเทพฯ
หมายเหตุ ดินลูกรัง ปลูกต้นไม้ได้ยากมาก แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการขุดดินออกบ้างส่วน และเติมดินที่ปลูกต้นไม้ได้ และปุ๋ยลงไปก็จะสามารถปลูกต้นไม้ได้บ้างส่วน
การเลือกระบบรดน้ำต้นไม้ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งขนาดของพื้นที่ ชนิดของพืช งบประมาณ และความสะดวกในการดูแลของคุณ นี่คือระบบหลักๆ ที่ได้รับความนิยมพร้อมข้อดีข้อเสีย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและควบคุมได้ด้วยตัวเองเต็มที่
ข้อดี:
ต้นทุนต่ำ: ไม่ต้องลงทุนในอุปกรณ์มาก
ควบคุมได้เต็มที่: คุณสามารถปรับปริมาณน้ำและจุดที่รดได้ตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด
การสังเกตพืช: ทำให้คุณมีโอกาสสังเกตสุขภาพของต้นไม้ได้ใกล้ชิด
ข้อเสีย:
ใช้เวลานานและใช้แรงงาน: ไม่เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่หรือคนที่ไม่ค่อยมีเวลา
ความสม่ำเสมอต่ำ: อาจรดน้ำไม่ทั่วถึงหรือไม่สม่ำเสมอในแต่ละครั้ง
เหมาะสำหรับ: ต้นไม้ในกระถางเล็กๆ, แปลงผักขนาดเล็ก, หรือผู้ที่มีเวลารดน้ำเป็นประจำ
เป็นระบบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะช่วยประหยัดน้ำและให้ประสิทธิภาพสูง
ข้อดี:
ประหยัดน้ำสูง: น้ำจะถูกส่งตรงไปยังรากพืช ลดการสูญเสียจากการระเหยหรือไหลทิ้ง
ลดโรคพืช: ใบพืชไม่เปียก ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคเชื้อรา
ลดวัชพืช: น้ำถูกส่งไปยังพืชเป้าหมายเท่านั้น ทำให้วัชพืชรอบๆ ไม่ได้รับน้ำมาก
ปรับแต่งง่าย: สามารถติดตั้งได้ทั้งบนดินและใต้ดิน และปรับเปลี่ยนตำแหน่งหัวจ่ายน้ำได้ง่าย
ข้อเสีย:
ต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า: มีค่าใช้จ่ายในการซื้อท่อ, ข้อต่อ, หัวน้ำหยด
อาจอุดตันได้: หากน้ำมีตะกอนหรือสิ่งสกปรก อาจทำให้หัวน้ำหยดอุดตันได้ง่าย
เหมาะสำหรับ: พืชผักสวนครัว, ไม้พุ่ม, ไม้ผล, ไม้กระถางจำนวนมาก
เป็นการเลียนแบบการตกของฝน โดยระบบรดน้ำต้นไม้ น้ำจะถูกพ่นกระจายออกไปเป็นละอองหรือฝอย
ข้อดี:
รดน้ำได้ทั่วถึง: เหมาะสำหรับพื้นที่กว้างๆ เช่น สนามหญ้า, แปลงดอกไม้ขนาดใหญ่
สะดวก: สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติได้ง่าย
ข้อเสีย:
สิ้นเปลืองน้ำกว่า: มีการสูญเสียน้ำจากการระเหยและการไหลบ่า
อาจทำให้เกิดโรคพืช: การที่ใบพืชเปียกเป็นเวลานานอาจส่งเสริมการเกิดโรคเชื้อรา
แรงดันน้ำสำคัญ: ต้องมีแรงดันน้ำที่เพียงพอเพื่อให้สปริงเกลอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
เหมาะสำหรับ: สนามหญ้า, สวนขนาดใหญ่, แปลงไม้ดอกที่ต้องการน้ำทั่วถึง
ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำหยดหรือสปริงเกลอร์ ติดตั้งสปริงเกอร์ คุณสามารถอัปเกรดให้เป็นระบบอัตโนมัติได้โดยการเพิ่มอุปกรณ์ควบคุม
อุปกรณ์ที่จำเป็น:
ตัวตั้งเวลา (Timer): มีทั้งแบบอนาล็อกและดิจิทัล ช่วยให้คุณกำหนดเวลาและระยะเวลาการรดน้ำ
ปั๊มน้ำ: หากแรงดันน้ำไม่พอ
เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดิน (Optional): ทำให้ระบบรดน้ำเฉพาะเมื่อดินแห้งตามที่กำหนด ช่วยประหยัดน้ำยิ่งขึ้น
ข้อดี:
สะดวกสบายสูงสุด: ไม่ต้องเสียเวลามานั่งรดน้ำเอง
สม่ำเสมอ: ต้นไม้ได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ
ประหยัดเวลา: คุณมีเวลาไปทำอย่างอื่น
ข้อเสีย:
ต้นทุนสูงที่สุด: มีค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ควบคุมและติดตั้ง
ต้องดูแลระบบ: มีโอกาสที่อุปกรณ์จะเสียหรืออุดตันได้ ต้องมีการตรวจสอบบำรุงรักษา
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแล, พื้นที่ขนาดใหญ่, สวนที่ต้องการความแม่นยำในการให้น้ำสูง
สรุป:
หากงบน้อย พื้นที่จำกัด และมีเวลา: การรดน้ำด้วยมือก็เพียงพอ
หากต้องการประหยัดน้ำ ดูแลพืชผัก/ไม้ผล: ระบบน้ำหยดคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
หากมีสนามหญ้าหรือพื้นที่กว้างที่ต้องการความทั่วถึง: ระบบสปริงเกลอร์ตอบโจทย์
หากต้องการความสะดวกสบายสูงสุด ไม่ต้องเสียเวลา: ระบบรดน้ำต้นไม้ อัตโนมัติ คือ คำตอบสุดท้าย