ตกแต่งบ้าน

คำนวณที่ดิน หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ระบบรดน้ำต้นไม้

คำนวณที่ดิน โปรแกรม หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ระบบรดน้ำต้นไม้
a =
กรอกข้อมูลตัวเลขและทศนิยมเท่านั้นเมตร
b =
กรอกข้อมูลตัวเลขและทศนิยมเท่านั้นเมตร
c =
กรอกข้อมูลตัวเลขและทศนิยมเท่านั้นเมตร
d =
กรอกข้อมูลตัวเลขและทศนิยมเท่านั้นเมตร


หมายเหตุ
  • โปรแกรม คำนวณที่ดิน นี้ช่วยให้สามารถหา พื้นที่ที่ดิน ของที่อยู่อาศัย พื้นที่ดินการเกษตร ส่วนมากจะเป็น สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า โดยวัดความยาวของด้านทั้ง 4 หรือ ทั้ง 4 ที่มีหน่วยเป็นเมตร ใส่ค่า และ กดปุ่มคำนวณ จำนวนพื้นที่ หน่วยเป็นตารางเมตร จะถูกแปลงให้เป็นหน่วยพื้นที่ของไทย โดยมีหน่วยเป็นไร่ เป็นงาน และ เป็นตารางวา ได้โดยอัตโนมัติ
  • คิดค่าใกล้เคียงตามเป็นจริง จากสูตร สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ตามสูตรด้านล่างนี้
คำนวณที่ดิน โปรแกรม หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า ไร่ งาน มาตราวัดพื้นที่ยอดนิยม
  • 1 วา = 2 เมตร
  • 1 เมตร = 100 เซนติเมตร
  • 1 กิโลเมตร = 1,000 เมตร
  • 1 ตารางวา = 4 ตารางเมตร
  • 1 งาน = 100 ตารางวา
  • 1 งาน = 400 ตารางเมตร
  • 1 ไร่ = 4 งาน
  • 1 ไร่ = 400 ตารางวา
  • 1 ไร่ = 1,600 ตารางเมตร

 

หน่วยวัดพื้นที่และการแปลงหน่วยวัด หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า

หน่วยวัดที่ดิน 1 ไร่เท่ากับกี่ตารางวาหน่วยวัดที่ดินในไทยที่ถูกใช้ระบุในโฉนดที่ดิน และคำนวณราคาซื้อ-ขายมีด้วยกัน 3 หน่วยคือ "ไร่-งาน-ตารางวา" และมีความสัมพันธ์กับหน่วย "ตารางเมตร" จึงทำให้จดจำง่าย และคุณก็จะได้คำตอบแล้วว่า 1 ไร่มีกี่ตารางวา 1 งานเท่ากับกี่ตารางวา หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า

  • 1 ตารางวา = 4 ตารางเมตร
  • 1 งาน = 100 ตารางวา = 400 ตารางเมตร
  • 1 ไร่ = 4 งาน = 400 ตารางวา = 1,600 ตารางเมตร

หน่วยวัดพื้นที่ใช้สอย

หน่วยตารางเมตรจะพบได้จากการคำนวณพื้นที่ห้องในคอนโด หรือใช้วัดพื้นที่ใช้สอยในบ้าน เช่น วัดที่ดินใช้หน่วยตารางวา แต่วัดพื้นที่ใช้สอยจะใช้หน่วยตารางเมตรและนับรวมทุกชั้นในบ้าน นอกจากนี้ยังมีหน่วย "ตารางฟุต" อีกด้วย หาพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า

  • 1 ตารางกิโลเมตร = 1,000,000 ตารางเมตร = 625 ไร่
  • 1 ตารางเมตร = 10,000 ตารางเซนติเมตร = 10.76 ตารางฟุต (โดยประมาณ)
  • 1 ตารางฟุต = 929.03 ตารางเซนติเมตร (โดยประมาณ)

หน่วยวัดพื้นที่สากลและหน่วยอื่น ๆ

ยังมีหน่วยวัดอื่น ๆ ที่ทางยุโรป อเมริกา นิยมใช้กัน ตามด้านล่างนี้

  • 1 เฮกเตอร์ = 10,000 ตารางเมตร = 6 ไร่ 1 งาน = 2,500 ตารางวา
  • 1 เอเคอร์ = 4,840 ตารางหลา = 43,560 ตารางฟุต = 4,046.86 ตารางเมตร (โดยประมาณ)
  • 1 ตารางไมล์ = 640 เอเคอร์ = 260 เฮกเตอร์ (โดยประมาณ) = 2.59 ตารางกิโลเมตร (โดยประมาณ)
  • 1 เส้น = 20 วา = 40 เมตร (วัดความยาว)
  • 1 วา = 4 ศอก = 2 เมตร (วัดความยาว)
  • 1 ศอก = 50 เซนติเมตร (วัดความยาว)

สูตรคํานวณพื้นที่

หลังจากได้คำตอบหน่วยวัดที่ดินแล้วว่า 1 ไร่มี 400 ตารางวา, 1 งานเท่ากับ 100 ตารางวา รวมถึงได้รู้จักกับหน่วยวัดพื้นที่และการแปลงหน่วยวัดกันแล้ว ลองมาลงลึกกันอีกนิดกับสูตรคำนวณพื้นที่รูปทรงต่าง ๆ ที่ควรรู้



สี่เหลี่ยมจัตุรัสและสี่เหลี่ยมผืนผ้า

สูตรคำนวณพื้นที่สี่เหลี่ยมที่ง่ายที่สุด จะใช้ได้เมื่อพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือผืนผ้าที่มีการทำมุม 90 องศาทุกมุม โดยคุณจะได้ผลลัพธ์พื้นที่จาก 2 สูตรนี้ พื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัส = ด้าน x ด้าน หรือ ด้านยกกำลัง 2 โปรแกรม คำนวณที่ดิน

ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีความยาวด้านละ 20 วา จะได้ 20 x 20 = 400 ตารางวา

พื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า = ด้านกว้าง x ด้านยาว

ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีด้านกว้าง 15 วา ด้านยาว 20 วา ก็จะได้ 15 x 20 = 300 ตารางวา



สี่เหลี่ยมใด ๆ

ตามความจริงพื้นที่บางจุดไม่ได้ทำมุมฉากทุกมุม บางที่มักจะเอียงซ้าย เอียงขวา ป้านมุมล่าง แหลมมุมบน ซึ่งเป็นสี่เหลี่ยมใด ๆ ได้หลายแบบ เราควรต้องใช้สูตรในการคำนวณจากเส้นทแยงมุมและเส้นกิ่งทั้ง 2 ด้าน ดังนี้

สูตรพื้นที่สี่เหลี่ยมใด ๆ แบบ A = 1 / 2 x (เส้นทแยงมุม x ผลบวกของเส้นกิ่ง) โปรแกรม คำนวณที่ดิน

ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีเส้นทแยงมุม 10 วา มีเส้นกิ่งด้านละ 4.8 วา จะได้ 1/2 x (10 x (4.8 + 4.8)) = 48 ตารางวา โดยเป็นสี่เหลี่ยมผื่นผ้าที่มีด้านกว้าง 6 วา ด้านยาว 8 วา ก็จะได้ 48 ตารางวาเช่นกัน เส้นกิ่งคือเส้นที่ลากจากมุมให้ตั้งฉาก 90 องศากับเส้นทแยงมุม ซึ่งหลักการของสูตรนี้คือการหั่นสี่เหลี่ยมออกเป็นสามเหลี่ยม 2 ชิ้นมาคิดพื้นที่นั่นเอง แต่ในกรณีที่คุณมีเพียงความยาวสี่เหลี่ยมทั้ง 4 ด้าน ต้องใช้สูตรที่ซับซ้อนขึ้นดังนี้

สูตรพื้นที่สี่เหลี่ยมใด ๆ แบบ B = รูท((s – ด้านซ้าย) x (s – ด้านบน) x (s – ด้านขวา) x (s – ด้านล่าง)) โดย s = 1/2 x (ผลบวกความยาวของทุกด้าน) โดยสูตรนี้คิดได้ทุกแบบยกเว้นสี่เหลี่ยมเว้า

ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีด้านซ้าย 12 วา ด้านบน 9 วา ด้านขวา 5 วา ด้านล่าง 14 วา โดยตัวแปร s จะได้ 1/2 x (12+9+5+14) = 20 และพื้นที่จะได้ รูท((20 – 12) x (20 – 9) x (20 – 5) x (20 – 14)) = 88.99 ตารางวา



สามเหลี่ยมใด ๆ

พื้นที่สามเหลี่ยมนั้นอาจเป็นส่วนประกอบหนึ่งในพื้นที่หลายเหลี่ยมมุม โดยสิ่งที่คุณต้องมีเมื่อต้องการคำนวณพื้นที่สามเหลี่ยมคือความยาวของฐานสามเหลี่ยม และความสูงจากฐานจนถึงยอด แล้วใช้สูตรนี้

พื้นที่สามเหลี่ยมใด ๆ = 1/2(ฐาน x สูง)

ตัวอย่าง กำหนดให้ที่ดินมีความยาวฐาน 16 วา มีความสูง 12 วา จะได้ 1/2 x (16 x 12) = 96 ตารางวา ทั้งนี้ยังมีสูตรคำนวณพื้นที่อีกมากมาย แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือที่จะช่วยให้การคำนวณง่ายขึ้น ด้วยแอปพลิเคชันคำนวณพื้นที่ที่ทำให้ชีวิตง่ายดายกว่าเดิมโดยไม่ต้องนั่งจิ้มเครื่องคิดเลขเอง


คำนวณดินเพื่อถมที่ดิน


มาตราส่วนการวัด
1 ไร่ คือ ขนาดพื้นที่ 400 ตารางวา หรือ 1600 ตารางเมตร
1 งาน คือ ขนาดพื้นที่ 100 ตารางวา หรือ 400 ตารางเมตร
1 ตารางวา คือ (กว้าง2เมตร x ยาว2เมตร) หรือ 4 ตารางเมตร
วิธีการคำนวณปริมาณดินที่ต้องใช้ในการถมที่
การคำนวณหาปริมาตร (คิว) = กว้าง (เมตร) x ยาว (เมตร) x สูง (เมตร)
(คิว ย่อมาจาก คิวบิกเมตร cubic metre หรือเรียกว่า ลูกบาศก์เมตร)
ตัวอย่างที่ 1
เนื้อที่ กว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร ต้องการถมเสริม 50 ซ.ม.
จากนั้น นำมาคูณกัน (20 เมตร x 40 เมตร x 0.5 เมตร) = 400 คิว
ตัวอย่างที่ 2
เนื้อที่ 200 ตารางวา ต้องการถมสูง 1.5 เมตร
จากด้านบน พื้นที่ 1 ตารางวาจะเท่ากับ 4 ตารางเมตร
ดังนั้น ขนาด 200 ตารางวา จะเท่ากับ 800 ตารางเมตร
จากนั้น นำมาคูณกัน (800 ตารางเมตร x 1.5 เมตร) = 1,200 คิว
ตัวอย่างที่ 3
เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา ต้องการถมสูง 1.2 เมตร
1 ไร่ เท่ากับ 1600 ตารางเมตร ดังนั้น 3 ไร่ จะเท่ากับ 4800 ตารางเมตร
1 งาน เท่ากับ 400 ตารางเมตร ดังนั้น 2 งาน จะเท่ากับ 800 ตารางเมตร
50 ตารางวา จะเท่ากับ 200 ตารางเมตร
ดังนั้น 3 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา จะเท่ากับ 4800+800+200 = 5,800 ตารางเมตร
จากนั้น นำมาคูณกัน (5800 ตารางเมตร x 1.2 เมตร) = 6,960 คิว


การเลือกชนิดของวัสดุ ให้เหมาะสมกับงานถมที่ดิน

ถมที่ดิน เพื่อปลูกสร้างบ้าน

  • ดินถมทั่วไป, ดินดำ, ดินท้องนา, หน้าดิน : ดินประเภทนี้ สามารถปลูกต้นไม้ได้ ควรถมดินทิ้งไว้ล่วงหน้า สัก 1 ปี เพื่อเตรียมปลูกสร้างในอนาคต จะได้ดินคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น
  • ดินดาน, ดินลูกรัง : ดินประเภทนี้ ปลูกต้นไม้ค่อนข้างยาก ถมแล้วปลูกสร้างได้ทันที แน่น ทรุดตัวน้อย ราคาในการถมจะสูงกว่า

สำหรับการถมเพื่อขาย

จะเน้นในเรื่องราคาในการถม ซื่งทางเราขอแนะนำ ดินถมทั่วไป ซึ่งเป็นดินราคาถูก ถมทิ้งไปนานก่อนการปลูกสร้าง และ สามารถพัฒนาหรือปรับปรุงพื้นที่ในการบดอัดแน่น เพื่อทำสิ่งปลูกสร้างได้เกือบทุกประเภท เช่น บ้าน โรงงาน โกดัง ลานจอด และ อื่น ๆ

ดินดาน ดีหรือไม่ สำหรับการสร้างบ้าน ส่วนใหญ่งานหมู่บ้านใหญ่ หรือ พื้นที่ที่มีความลึกมากๆ ในการถมจะใช้ดินดานในการถม จุดสำคัญที่ใช้ดินดาน เนื่องจากดินดานมีความแห้ง และสามารถบดอัดได้ สามารถขึ้นงานก่อสร้างได้เลย แต่ปลูกต้นไม้ไม่ค่อยดี การพัฒนาดินดานให้ปลูกต้นไม้ได้ดีค่อนข้างยาก

สำหรับการทำโกดัง โรงงาน : ดินลูกรัง, ดินดาน, ทรายถม, ทรายขี้เป็ด

พื้นที่แบบนี้ ไม่เน้นการปลูกต้นไม้ ต้องการบดอัดดินแน่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเทปูน ลานจอดรถ ลานขนส่ง ต่างๆ พร้อมขึ้นงานโครงสร้างได้ง่าย และทันที ซึ่งทางเราแนะนำ วัสดุที่สามารถบดอัดแน่นได้ดี ดินลูกรัง ดินดาน ราคาค่าถมจะมีราคาสูงกว่า ดินถมทั่วไป เนื่องจาก เครื่องจักรใหญ่ ในการบดอัดวัสดุ สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพฯ การส่งขนส่งวัสดุเข้ามามีระยะทางไกล เพราะบ่อดินส่วนใหญ่ อยู่ขอบนอกของกรุงเทพฯ

หมายเหตุ ดินลูกรัง ปลูกต้นไม้ได้ยากมาก แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการขุดดินออกบ้างส่วน และเติมดินที่ปลูกต้นไม้ได้ และปุ๋ยลงไปก็จะสามารถปลูกต้นไม้ได้บ้างส่วน

ระบบรดน้ำต้นไม้ ติดตั้งสปริงเกอร์ : ควรทำแบบไหนดี?


 

การเลือกระบบรดน้ำต้นไม้ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งขนาดของพื้นที่ ชนิดของพืช งบประมาณ และความสะดวกในการดูแลของคุณ นี่คือระบบหลักๆ ที่ได้รับความนิยมพร้อมข้อดีข้อเสีย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ

 

การรดน้ำด้วยมือ (Manual Watering)

 

เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและควบคุมได้ด้วยตัวเองเต็มที่

ข้อดี:

  • ต้นทุนต่ำ: ไม่ต้องลงทุนในอุปกรณ์มาก

  • ควบคุมได้เต็มที่: คุณสามารถปรับปริมาณน้ำและจุดที่รดได้ตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด

  • การสังเกตพืช: ทำให้คุณมีโอกาสสังเกตสุขภาพของต้นไม้ได้ใกล้ชิด

ข้อเสีย:

  • ใช้เวลานานและใช้แรงงาน: ไม่เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่หรือคนที่ไม่ค่อยมีเวลา

  • ความสม่ำเสมอต่ำ: อาจรดน้ำไม่ทั่วถึงหรือไม่สม่ำเสมอในแต่ละครั้ง

เหมาะสำหรับ: ต้นไม้ในกระถางเล็กๆ, แปลงผักขนาดเล็ก, หรือผู้ที่มีเวลารดน้ำเป็นประจำ

 

ระบบรดน้ำต้นไม้ ระบบน้ำหยด (Drip Irrigation System)

 

เป็นระบบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะช่วยประหยัดน้ำและให้ประสิทธิภาพสูง

ข้อดี:

  • ประหยัดน้ำสูง: น้ำจะถูกส่งตรงไปยังรากพืช ลดการสูญเสียจากการระเหยหรือไหลทิ้ง

  • ลดโรคพืช: ใบพืชไม่เปียก ทำให้ลดความเสี่ยงของโรคเชื้อรา

  • ลดวัชพืช: น้ำถูกส่งไปยังพืชเป้าหมายเท่านั้น ทำให้วัชพืชรอบๆ ไม่ได้รับน้ำมาก

  • ปรับแต่งง่าย: สามารถติดตั้งได้ทั้งบนดินและใต้ดิน และปรับเปลี่ยนตำแหน่งหัวจ่ายน้ำได้ง่าย

ข้อเสีย:

  • ต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า: มีค่าใช้จ่ายในการซื้อท่อ, ข้อต่อ, หัวน้ำหยด

  • อาจอุดตันได้: หากน้ำมีตะกอนหรือสิ่งสกปรก อาจทำให้หัวน้ำหยดอุดตันได้ง่าย

เหมาะสำหรับ: พืชผักสวนครัว, ไม้พุ่ม, ไม้ผล, ไม้กระถางจำนวนมาก

 

ระบบสปริงเกอร์ (Sprinkler System)


ระบบรดน้ำต้นไม้ ติดตั้งสปริงเกอร์

 

เป็นการเลียนแบบการตกของฝน โดยระบบรดน้ำต้นไม้ น้ำจะถูกพ่นกระจายออกไปเป็นละอองหรือฝอย

ข้อดี:

  • รดน้ำได้ทั่วถึง: เหมาะสำหรับพื้นที่กว้างๆ เช่น สนามหญ้า, แปลงดอกไม้ขนาดใหญ่

  • สะดวก: สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติได้ง่าย

ข้อเสีย:

  • สิ้นเปลืองน้ำกว่า: มีการสูญเสียน้ำจากการระเหยและการไหลบ่า

  • อาจทำให้เกิดโรคพืช: การที่ใบพืชเปียกเป็นเวลานานอาจส่งเสริมการเกิดโรคเชื้อรา

  • แรงดันน้ำสำคัญ: ต้องมีแรงดันน้ำที่เพียงพอเพื่อให้สปริงเกลอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

เหมาะสำหรับ: สนามหญ้า, สวนขนาดใหญ่, แปลงไม้ดอกที่ต้องการน้ำทั่วถึง

 

ระบบรดน้ำต้นไม้ แบบตั้งเวลา/อัตโนมัติ ติดตั้งสปริงเกอร์ (Automated Watering System)

 

ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำหยดหรือสปริงเกลอร์ ติดตั้งสปริงเกอร์ คุณสามารถอัปเกรดให้เป็นระบบอัตโนมัติได้โดยการเพิ่มอุปกรณ์ควบคุม

อุปกรณ์ที่จำเป็น:

  • ตัวตั้งเวลา (Timer): มีทั้งแบบอนาล็อกและดิจิทัล ช่วยให้คุณกำหนดเวลาและระยะเวลาการรดน้ำ

  • ปั๊มน้ำ: หากแรงดันน้ำไม่พอ

  • เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดิน (Optional): ทำให้ระบบรดน้ำเฉพาะเมื่อดินแห้งตามที่กำหนด ช่วยประหยัดน้ำยิ่งขึ้น

ข้อดี:

  • สะดวกสบายสูงสุด: ไม่ต้องเสียเวลามานั่งรดน้ำเอง

  • สม่ำเสมอ: ต้นไม้ได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสมและสม่ำเสมอ

  • ประหยัดเวลา: คุณมีเวลาไปทำอย่างอื่น

ข้อเสีย:

  • ต้นทุนสูงที่สุด: มีค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์ควบคุมและติดตั้ง

  • ต้องดูแลระบบ: มีโอกาสที่อุปกรณ์จะเสียหรืออุดตันได้ ต้องมีการตรวจสอบบำรุงรักษา

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแล, พื้นที่ขนาดใหญ่, สวนที่ต้องการความแม่นยำในการให้น้ำสูง


สรุป:

  • หากงบน้อย พื้นที่จำกัด และมีเวลา: การรดน้ำด้วยมือก็เพียงพอ

  • หากต้องการประหยัดน้ำ ดูแลพืชผัก/ไม้ผล: ระบบน้ำหยดคือตัวเลือกที่ดีที่สุด

  • หากมีสนามหญ้าหรือพื้นที่กว้างที่ต้องการความทั่วถึง: ระบบสปริงเกลอร์ตอบโจทย์

  • หากต้องการความสะดวกสบายสูงสุด ไม่ต้องเสียเวลา: ระบบรดน้ำต้นไม้ อัตโนมัติ คือ คำตอบสุดท้าย

เลขทะเบียนรถคลิกติดต่อ

จองทะเบียน
หมวดหมู่ ล่าสุด กทม
998บาทดีมาก
รับซื้อเลขทะเบียน
ราคาไม่ผ่านคนกลาง
สูงกว่าตลาดแน่นอน




qr